วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

ช๊อค!! แอปเปิ้ลจดสิทธิบัตร Multi-touch สำเร็จ!!


หลังจากเฝ้าดำเนินการเพื่อให้ได้ สิทธิบัตร ระบบ Multi-touch มาเนิ่นนาน ประวัติศาสตร์เทคโนโลยี และสารพัดค่ายผู้ผลิต ต้องจดจำไปจนวันตายว่า ระบบ “Multi-touch”  เป็นเทคโนโลยีของแอปเปิ้ล ตามประกาศอย่างเป็นทางการของ USPTO  (United States Patent and Trademark Office) ซึ่ง ณ จุดนี้ สมาร์ทโฟนระบบทัชสกรีนแทบทุกเครื่องต้องมี Multi-touch เป็นฟีเจอร์ เบสิกพิ้นฐาน และคำถามที่ผู้ผลิตทั่วโลกกำลังวิตก ก็คือ แอปเปิ้ลจะเปิดฉากฟ้องละเมิดสิทธิบัตรไหม?  เมื่อไหร่?

แอปเปิ้ลต้องสูญเงินไปหลายเพื่อ จ่ายค่าสิทธิบัตรเทคโนโลยี ให้กับโนเกีย ซึ่งวันนี้ิอาจเป็นจุดเริ่มต้นการประกาศเอาคืน หรือหากมองอีกมุมหนึ่งจะเป็นการเตือน ผู้ผลิตรายอื่นให้ปรับเปลี่ยนระบบมัลติทัช ฟีเจอร์หลัก ในสมาร์ทโฟนของตัวเอง  ในที่นี้ไม่ใช่การรื้อมัลติทัช ออกแบบหมดยวง เนื่องจากสิทธิบัตรตัวที่แอปเปิ้ลได้มานี้เป็น U.S. 7,966,578



ซึ่งมีความหมายในทางปฎิบัติการใช้งาน Multi-touch ไม่ครอบคลุมทั้งหมด กล่าวคือ เมื่อครั้ง iPhone รุ่นแรกพามัลติทัชมาสู่สายตาชาวโลก ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาจะหมายความถึง ความสามาถในการสัมผัสหน้าจอเพื่อย่อหรือขยายรูปภาพ ด้วยการใช้งานสองนิ้ว, การหมุนภาพด้วยปลายนิ้ว รวมทั้ง การ ใช้นิ้วมือลากไปมา
โดยหากยึดตามสิทธิบัตรจะ ได้แก่  การใช้ 1 นิ้วสำหรับเลื่อนทั้งหน้า และใช้ 2 นิ้วได้ เมื่ออุปกรณ์ตรวจพบเนื้อหาในเฟรมบนหน้านั้น ที่สามารถแปลงไปใช้ Multi-touch โดยไม่กระทบกับเนื้อหาอื่นบนหน้าเว็บ  นั่นคือคุณสามารถใช้นิ้ว 2 นิ้ว เพื่อ pinch-to-zoom สำหรับ Google Maps บนเว็บได้ (เช่น บน Safari) ดูที่วิดีโอข้างล่างประกอบ

เครดิต :http://tech.mthai.com/mobile-tablet/7682.html

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

เทียบจะจะ! ราคาน้ำมันทั่วโลก คนไทยใช้แพงติดอันดับ 10 ของโลก



ราคาน้ำมัน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

        เมื่อทรัพยากรธรรมชาติอย่าง "น้ำมัน" ร่อยหรอลงไปทุกวัน ๆ สวนทางกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนทั่วโลกจึงต้องแบกรับภาระส่วนนี้เพิ่มอย่างเสียไม่ได้ แน่นอนว่า คนไทยที่มีรถส่วนตัวเองก็ต้องกระเป๋าฉีกทุกเดือนเมื่อต้องควักเงินจ่ายค่าน้ำมันที่สะท้อนความเป็นจริง 

        จากข้อมูล ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2556 พบว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 46.45 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันเบนซิน 95 แตะที่ 48.95 บาทต่อลิตร คาดว่าอีกไม่นานมีสิทธิ์ได้เห็นราคาน้ำมันแตะที่ 50 บาทต่อลิตรเป็นแน่ และด้วยตัวเลขราคาน้ำมันที่เห็นแล้วแทบลมจับ ก็ทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนบ่นดัง ๆ พลางตั้งข้อสงสัยว่า คนไทยกำลังใช้น้ำมันในราคาแพงเกินจริงหรือไม่?

ราคาน้ำมัน

        อย่างไรก็ตาม เมื่อลองไปสำรวจข้อมูลของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่จัดอันดับ 60 ประเทศ ไล่เรียงราคาน้ำมันแพง-ถูกที่สุดในโลกประจำปี 2556 โดยวัดจากราคาขายปลีกของสถานีบริการน้ำมันแล้ว จะพบว่า "ประเทศตุรกี" ใช้น้ำมันแพงที่สุดในโลก ราคาแตะที่ 9.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน หรือคิดเป็นลิตรละ 78 บาท ตามมาด้วย "นอร์เวย์" ที่ 9.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน (ลิตรละ 76 บาท) และ "เนเธอร์แลนด์" รั้งอันดับ 3 ที่ 9.09 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน (ลิตรละ 71.50 บาท)

        ขณะที่ "ประเทศไทย" ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 47 มีราคาน้ำมันอยู่ที่ 4.42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อแกลลอน คิดแล้วก็ตกลิตรละประมาณ 34 บาท ถือว่าเราจ่ายค่าน้ำมันถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง "สิงคโปร์" ที่อยู่ในอันดับที่ 37 ขายน้ำมันตกลิตรละ 50 บาท รวมทั้ง "ฟิลิปปินส์" ที่ติดอันดับที่ 43 ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าน้ำมันกันลิตรละ 38.50 บาท 
10 อันดับประเทศที่ขายน้ำมันแพงที่สุดในโลก ประจำปี 2556

         1. ตุรกี เฉลี่ยลิตรละ 78 บาท

         2. นอร์เวย์ เฉลี่ยลิตรละ 76 บาท

         3. เนเธอร์แลนด์ เฉลี่ยลิตรละ 71.50 บาท

         4. อิตาลี เฉลี่ยลิตรละ 70 บาท

         5. โปรตุเกส เฉลี่ยลิตรละ 69.50 บาท

         6. กรีซ เฉลี่ยลิตรละ 68 บาท

         7. สวีเดน เฉลี่ยลิตรละ 67 บาท

         8. เบลเยียม เฉลี่ยลิตรละ 66 บาท

         9. ฝรั่งเศส เฉลี่ยลิตรละ 66 บาท

         10. เดนมาร์ก เฉลี่ยลิตรละ 65 บาท


น้ำมัน

        มองเผิน ๆ อาจจะเข้าใจว่า ราคาน้ำมันที่ขายกันในประเทศไทยไม่ได้สูงเว่อร์กว่าประเทศอื่นมากนัก แต่อย่าลืมว่า นี่เป็นเพียงการจัดอันดับที่อ้างอิงจากตัวเลขราคาน้ำมันที่ขายในประเทศเท่านั้น หากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ จริง ๆ ว่า ประเทศไหนใช้น้ำมันถูก ใช้น้ำมันแพงกว่ากัน ต้องเทียบกับค่าครองชีพ อันหมายถึงรายได้ต่อวันของประชากรในประเทศนั้นด้วย 

        เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าผลที่ได้จะออกมาตรงกันข้าม เพราะประเทศไทยที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยวันละ 17 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 507 บาท) จะติดอันดับใช้น้ำมันแพงมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลกทันที โดยรายได้ต่อวันของคนไทยจะถูกแบ่งสรรปันส่วนไปจ่ายเป็นค่าน้ำมันมากถึง 25%

         ขณะเดียวกัน หากย้อนไปดูประเทศนอร์เวย์ ซึ่งมีราคาน้ำมันแพงเป็นอันดับ 2 ของโลกที่ลิตรละ 76 บาท กลับพบว่า เมื่อเทียบกับค่าครองชีพแล้ว ชาวนอร์เวย์ใช้น้ำมันแพงเป็นอันดับที่ 51 ของโลก ซึ่งน้อยกว่าประเทศไทยหลายเท่า นั่นเพราะชาวนอร์เวย์มีรายได้เฉลี่ยถึงวันละ 8,355 บาท การจ่ายค่าน้ำมันลิตรละ 76 บาท จึงดูเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ ไปเลย


น้ำมัน

        จากข้อมูลการสำรวจของบลูมเบิร์กนี้ ก็คงพอจะเห็นภาพว่า แม้ประเทศในทวีปยุโรปจะขายน้ำมันราคาแพงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ขณะที่ประเทศในทวีปเอเชียอยู่ในอันดับกลาง ๆ  แต่หากนำรายได้ต่อหัวต่อวันของประชากรมาคิดค่าเฉลี่ยแล้ว ถือว่าคนเอเชียต้องกระเป๋าฉีกเพราะค่าน้ำมันมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว แน่นอนว่า ไทยแลนด์ ก็ติดอันดับใช้น้ำมันแพงกับเขาด้วยเช่นกัน 

        และนี่ก็คือ 10 อันดับประเทศที่ใช้น้ำมันแพง เมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อวันของประชากร

         1. ปากีสถาน ราคาน้ำมันลิตรละ 31.50 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 106 บาท

         2. อินเดีย ราคาน้ำมันลิตรละ 39 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 140 บาท

         3. ฟิลิปปินส์ ราคาน้ำมันลิตรละ 38.50 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 212 บาท (คนฟิลิปปินส์จ่ายค่าน้ำมัน 69% ของรายได้ต่อวัน)

         4. ไนจีเรีย ราคาน้ำมันลิตรละ 18 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 141 บาท (คนไนจีเรียจ่ายค่าน้ำมัน 49% ของรายได้ต่อวัน)

         5. บัลแกเรีย ราคาน้ำมันลิตรละ 52 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 567 บาท (คนบัลแกเรียจ่ายค่าน้ำมัน 34% ของรายได้ต่อวัน)

         6. อินโดนีเซีย ราคาน้ำมันลิตรละ 29 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 329 บาท (คนอินโดนีเซียจ่ายค่าน้ำมัน 33% ของรายได้ต่อวัน)

         7. ตุรกี ราคาน้ำมันลิตรละ 78 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 895 บาท

         8. โรมาเนีย ราคาน้ำมันลิตรละ 53 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 656 บาท (คนโรมาเนียจ่ายค่าน้ำมัน 30% ของรายได้ต่อวัน)

         9. จีน ราคาน้ำมันลิตรละ 37 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 537 บาท (คนจีนจ่ายค่าน้ำมัน 26% ของรายได้ต่อวัน)

         10. ไทย ราคาน้ำมันลิตรละ 34 บาท รายได้เฉลี่ยวันละ 507 บาท (คนไทยจ่ายค่าน้ำมัน 25% ของรายได้ต่อวัน)


เทียบจะจะ! ราคาน้ำมันทั่วโลก คนไทยใช้น้ำมันแพงอันดับ 10 ของโลก

        ส่วนประเทศเพื่อนบ้านของไทยนั้น "มาเลเซีย" อยู่ในอันดับที่ 38 จ่ายค่าน้ำมันลิตรละ 19 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศไทย แถมประชากรยังมีรายได้เฉลี่ยมากถึงวันละ 955 บาท ชาวมาเลเซียจึงจ่ายค่าน้ำมันเพียงวันละ 7.5% ของรายได้เท่านั้น ขณะที่ "สิงคโปร์" ที่ขายน้ำมันราคาลิตรละ 50 บาท แม้จะแพงกว่าไทย แต่รายได้เฉลี่ยเขาสูงถึง 4,148 บาท ทำให้คนสิงคโปร์เสียค่าน้ำมันเพียงวันละ 4.5% ของรายได้ 

        ถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ประเทศไหนขายน้ำมันราคาถูกที่สุด คำตอบจากการสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กก็คือ "ประเทศเวเนซุเอลา" ประเทศที่ส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยขายน้ำมันที่ลิตรละ 50 สตางค์ ขณะที่ประชากรมีรายได้ถึงวันละ 925 บาท เท่ากับว่าดินแดนนางงามแห่งนี้จ่ายเงินซื้อน้ำมันเพียงวันละ 0.2% ของรายได้เท่านั้นเอง


เครดิต :http://hilight.kapook.com/view/82452

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Microsoft ปิดตัว Hotmail ย้ายผู้ใช้สู่ Outlook เต็มตัว


ไมโครซอฟท์ประกาศหมดช่วงพรีวิวเริ่มย้ายผู้ใช้ฮอตเมลสู่ "เอาท์ลุค"เต็มตัว พร้อมเลื่อนปิด "เอ็มเอสเอ็น" ดีเดย์ใหม่ 8 เม.ย.นี้
 
รายงานข่าวจากซีเน็ตระบุว่าไมโครซอฟท์ประกาศให้บริการเว็บเมล "เอาท์ลุค (Outlook.com)" ทั่วโลกอย่างเป็นทางการแล้ว หลังเปิดทดลองใช้งานเวอร์ชั่นพรีวิวสำหรับผู้สนใจมาตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
 
ทั้งนี้นับเป็นการปิดฉาก "ฮอตเมล" และย้ายผู้ใช้สู่บริการใหม่ที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของไมโครซอฟท์นับตั้งแต่คู่แข่งกูเกิลเปิดตัวฟรีอีเมล"จีเมล" ในปี 2547 โดยมีไฮไลต์การปรับปรุงตั้งแต่หน้าตาอินเทอร์เฟซที่ไม่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับบริการเก็บข้อมูล "สกายไดร์ฟ" ที่ให้พื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงดีไซน์ภาพรวมที่ให้อารมณ์คล้ายกับระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8
 
อย่างไรก็ตามไมโครซอฟท์ออกแบบ "เอาท์ลุค" เพื่อทดแทน "ฮอตเมล" ที่ซื้อกิจการมาตั้งแต่ปี 2540 แต่ทั้งนี้ชื่อ "ฮอตเมล" ก็จะไม่หายไปทั้งหมด เพียงแต่ "เอาท์ลุค ดอทคอม" จะกลายเป็นแบรนด์ฟรีอีเมลสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปแทนฮอตเมล
 
โดยนายธาเมช เมฮ์ตา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ให้สัมภาษณ์ซีเน็ตก่อนหน้านี้ว่า ผู้ใช้ฮอตเมลปัจจุบันสามารถเปลี่ยนไปใช้บริการเอาท์ลุคได้ตลอดเวลา และยังสามารถใช้ที่อยู่อีเมลตามด้วย "@hotmail" ได้เหมือนเดิม โดยระบบจะให้สิทธิสามารถเลือกใช้ "@outlook.com" ก็สามารถเข้าถึงอีเมลได้เช่นเดียวกัน
 
ท้ั้งนี้สำหรับผู้ใช้งานที่ไม่ได้เปลี่ยนไปสู่เอาท์ลุคด้วยตัวเอง ระบบจะทะยอยอัพเกรดสู่บริการใหม่ให้อย่างอัตโนมัติ เริ่มต้นตั้งแต่สัปดาห์นี้ และคาดว่าจะย้ายผู้ใช้งานสู่บริการใหม่ได้ทั้งหมดภายในช่วงฤดูร้อนนี้
 
ไมโครซอฟท์ยังเผยว่า หลังเริ่มเปิดตัวบริการใหม่ได้ 6 เดือน มีผู้ใช้งานแล้วราว 60 ล้านรายทั่วโลก
 
พร้อมกันนี้ยังมีรายงานระบุว่า ไมโครซอฟท์เลื่อนกำหนดการปิดตัวโปรแกรมสนทนา "เอ็มเอสเอ็น" จากเดิม 15 มี.ค.นี้เป็น 8 เม.ย. ซึ่งจะเป็นวันเริ่มอัพเกรดผู้ใช้สู่บริการใหม่ "สไกป์" อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เวลาผู้ใช้งานได้ปรับตัวมากขึ้น
เครดิต : CHIP Magazine Thailand

Facebook เผยถูกแฮกแต่ข้อมูลผู้ใช้ปลอดภัย

 
ยักษ์ใหญ่ตลาดเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ค เผยถูกแฮกระบบเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ยันข้อมูลผู้ใช้ทุกคนยังปลอดภัย
 
Facebook เผยว่า การโจมตีระบบเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทกดเข้าไปยังเพจของบริษัทพัฒนาฐานข้อมูลสำหรับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง ที่เปิดช่องให้กลุ่มแฮกเกอร์ปริศนาปล่อยไวรัสเข้าก่อกวน ไวรัสดังกล่าวถูกดาวน์โหลดมาโดยอัตโนมัติในแล็ปท็อปของเจ้าหน้าที่ และทันทีที่พบไวรัส บริษัทได้ทำการล้างระบบของคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสทั้งหมด
 
การโจมตีครั้งนี้ เป็นการมุ่งโจมตีซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล ที่ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษาจาวา ของบริษัทออราเคิล อย่างไรก็ตาม ฝ่ายดูแลระบบสามารถสกัดการโจมตี และแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวได้แล้ว รวมถึงเจ้าหน้าที่ของออราเคิลได้เข้ามาติดตั้งระบบป้องกันตัวใหม่ให้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
 
Facebook ยืนยันว่า ระบบฐานข้อมูลของผู้ใช้กว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกไม่ได้รับผลกระทบ แต่แสดงความเชื่อมั่นว่า บริษัทไม่ใช่เหยื่อของการโจมตีในลักษณะนี้เพียงรายเดียว และบริษัทกำลังตรวจสอบเพื่อหาแหล่งที่มาของการโจมตีโดยเร็ว
 
ช่วงต้นเดือน ทวิตเตอร์ถูกกลุ่มแฮกเกอร์ลึกลับโจมตีระบบฐานข้อมูล และสามารถโจรกรรมรหัสผ่านของผู้ใช้ไปได้ถึง 2.5 แสนคน เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์ "เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส" และ "เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล" ของสหรัฐ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการโจรกรรมข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตของกลุ่มแฮกเกอร์ชาวจีน แต่ทางจีนออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
 เครดิต : CHIP MAGAZINE THAILAND

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เงินเดือนวิศวกรคอมพิวเตอร์และไอที ในไทยปี 2555


สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมได้อ่านบทความ "รายได้ต่อปีวิศวกรใน Silicon Valley ทะลุ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ" ที่ Blognone ผมจึงเกิดไอเดียที่อยากรู้ว่าเงินเดือนวิศวกรคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผมจึงไปค้นคว้าหาข้อมูลเงินเดือนมา ก็พบและได้นำมา 2 สาขาอาชีพคือ

- เงินเดือนของสาขาอาชีพ Computer Engineer ในประเทศไทยประจำปี 2555
- เงินเดือนของสาขาอาชีพ IT ในประเทศไทยประจำปี 2555

เพื่อมาแนะนำให้เพื่อนๆ พี่ น้อง ที่ศึกษาอยู่สาขาวิศวกรคอมพิวเตอร์และไอทีหรือที่กำลังจะตัดสินใจที่จะเข้ามาเรียนในสาขานี้ หรือกำลังหางานทางด้านนี้อยู่ เพื่อที่จะได้นำมาเป็นแนวทางกันดูนะครับ  โดยข้อมูลส่วนนี้ผมได้นำมาจาก บริษัทจัดหางานชื่อดังในประเทศไทยคือ บริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย

สำหรับส่วนข้อมูลเงินเดือนที่นำมานี้เป็นเงินเดือนระดับจูเนียร์(ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานปีแรกจนถึงปีที่ 5) โดยผมได้สรุปมา เพื่อความสะดวกในการอ่าน ดังต่อไปนี้



วิศวกรคอมพิวเตอร์ สาย
เงินเดือน
ต่ำสุด(บาท)
สูงสุด(บาท)
โรงงานทั่วไป
15,000
40,000
ออกแบบผลิตภัณฑ์
15,000
55,000
เขียนแบบแปลน
12,000
30,000
ออกไซต์งาน
15,000
50,000
ตรง (คอมพิวเตอร์)
48,000
55,000
ประมาณการ
15,000
40,000
สถาปัตยกรรม
20,000
50,000
บำรุงและซ่อมแซม
15,000
50,000
โปรเจ็ค
18,000
40,000
ควบคุมคุณภาพ
15,000
40,000
โครงสร้าง
20,000
40,000
เน็ตเวิร์ก
25,000
50,000
ซอฟต์แวร์
18,000
65,000
ควบคุมระบบ
20,000
55,000
แอพพลิเคชั่น
20,000
50,000



ไอที สาย
เงินเดือน
ต่ำสุด(บาท)
สูงสุด(บาท)
ที่ปรึกษากับลูกค้า
25,000
50,000
ดาต้าแวร์เฮาส์
20,000
60,000
วิเคราะห์ข้อมูล
25,000
35,000
ดาต้าเบส แอดมิน
18,000
55,000
สื่อมีเดีย
12,000
15,000
ที่ปรึกองค์กร
25,000
70,000
วิเคราะห์สารสนเทศภูมิศาสตร์
15,000
20,000
แอพพลิเคชั่นซับพอร์ต
24,000
40,000
ผู้จัดการ
35,000
80,000
วิเคราะห์ความปลอดภัย
20,000
50,000
จัดการความปลอดภัย
40,000
60,000
ซับพอร์ต
10,000
30,000
เน็ตเวิร์ก แอดมิน
20,000
60,000
โปรแกรมเมอร์
18,000
80,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(.NET)
18,000
60,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(ABAP)
24,000
60,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(C, C++)
25,000
65,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(JAVA)
20,000
45,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(Mobile  App)
28,000
60,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(Oracle/ SQL)
25,000
50,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนา(PHP)
25,000
50,000
โปรแกรมเมอร์/พัฒนาตามสเป็ค
20,000
40,000
โปรเจ็ค
20,000
40,000
ผู้บริหารโปรเจ็ค
50,000
100,000
ทดสอบซอฟต์แวร์
17,000
40,000
พัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปทางธุรกิจ
35,000
80,000
สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์
20,000
60,000
ระบบ แอดมิน
20,000
50,000
วิเคราะห์ระบบ
20,000
50,000
ที่ปรึกษาด้านเทคนิค
20,000
65,000
ออกแบบเว็บไซต์
15,000
40,000
เว็บมาสเตอร์
15,000
30,000


จากข้อมูลข้างต้นนี้ เงินเดือนของสาขาไอที นั้นมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าเงินเดือนของวิศวกรคอมพิวเตอร์ ได้อีก ในความคิดเห็นของผม คิดว่า"เนื่องจากในประเทศไทย โดยส่วนมากยังไม่มีงานที่เหมาะสมกับวิศวกรคอมพิวเตอร์ เพราะว่าประเทศไทยไม่ได้ผลิตคอมพิวเตอร์เอง ดังนั้นจึงทำให้งานสาขาไอทีเป็นงานที่ตอบโจทย์ให้กับองค์กรในประเทศไทยได้เหมาะสมมากกว่าวิศวกรคอมพิวเตอร์"

สุดท้ายนี้หากต้องการ ดูข้อมูลเงินเดือนของงานสาขาอื่่นๆ สามารถเข้าไปดูได้ที่ บริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย
เรียบเรียงโดย  http://zax-zigzag.blogspot.com/2012/01/2555.html